บทที่ 5 ก่อกวนถึงที่
นาราหัวเราะเบาๆ ในเสียงหัวเราะนั้นมีความคมปลาบซ่อนอยู่ “โอ้เหรอ? อย่าลืมสิว่าเมื่อก่อนถ้าลุงพิชัยไม่ได้รับการสนับสนุนจากตาและยายของฉัน บริษัทจะยังคงรุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่ได้หรือ? เผลอๆ อาจจะเจ๊งไปนานแล้วก็ได้?” พูดจบนัยน์ตาของเธอก็พลันเฉียบคมขึ้น
“ถ้าไม่ใช่เพราะอย่างนั้น ตระกูลเหลืองอังกูรของคุณจะรีบร้อนอยากเกี่ยวดองกับเราทำไม?”
อลิซาได้ยินดังนั้นก็กรีดร้องเสียงแหลมอย่างหยิ่งผยอง “นารา อย่ามาให้หน้าไม่เอาหน้า! ห้าปีที่แล้วฉันไล่แกไปได้ วันนี้ฉันก็ยังทำได้เหมือนเดิม!”
นาราแค่นยิ้มอย่างเย็นชา “ในบ้านหลังนี้ ฉันยอมรับแค่แม่ของฉันคนเดียว ส่วนพวกคุณน่ะเหรอ? เหอะ ก็แค่คนผ่านทางที่ไม่สำคัญ”
พิชัยที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้าถมึงทึง และพูดแทงใจดำอย่างเหี้ยมเกรียม “พาลูกไม่มีพ่อกลับมา แล้วยังคิดจะมาหาผลประโยชน์จากตระกูลเหลืองอังกูรอีกเหรอ? ฝันกลางวันไปเถอะ!”
นาราแสยะยิ้มอย่างดูแคลน โต้กลับราวกับใบมีดอันคมกริบ “ก็มีแต่คนประเภทกบในกะลาเท่านั้นแหละ ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เอาแต่ลอยชายไปวันๆ” คำพูดของเธอเปรียบเสมือนน้ำเย็นที่สาดดับความผยองของพิชัยและอลิซาลงในทันที
อลิซาได้สติกลับมาก่อนใคร เธอแค่นยิ้มเย็นชา พลางจ้องมองนาราอย่างท้าทาย “หรือว่า... แกอยากจะทวงมรดกของพวกเขากลับคืนงั้นเหรอ?”
นาราไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแต่ใช้สายตาเย็นชาจ้องมองอลิซาราวกับกำลังมองตัวตลกอยู่
แววตาของเธอแน่วแน่ ราวกับจะเตือนว่า “ใช่ ฉันจะทวงทุกอย่างที่เป็นของฉันกลับคืนมา”
สมหญิงได้ยินเสียงทะเลาะกันก็รีบกลับเข้ามาในบ้าน ดึงนารามาอยู่ข้างกาย พยายามจะยุติความขัดแย้งนี้
นาราไม่อยากให้ความสัมพันธ์แม่ลูกที่เพิ่งจะดีขึ้นต้องกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง จึงหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ไม่สนใจสองพ่อลูกคู่นั้นอีก
พิชัยโกรธจนหน้าเขียว กำลังจะอาละวาด แต่ก็ถูกสายตาอ้อนวอนของสมหญิงห้ามไว้ เขาทำได้เพียงข่มความโกรธเอาไว้
บนโต๊ะอาหาร สมหญิงสั่งให้คนใช้เตรียมอาหารที่ไม่เผ็ดสองอย่างเป็นพิเศษ เพื่อเอาใจหลานชายตัวน้อย ความรักที่เธอมีต่อจอร์นนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟในใจของพิชัยและอลิซา
สมหญิงถามถึงเรื่องงานของนาราด้วยความอยากรู้ นารายิ้มและตอบว่า “หนูเรียนต่อด้านชีวการแพทย์ที่ต่างประเทศค่ะ ตอนนี้เพิ่งกลับมาร่วมกิจกรรมที่สมาคมวิจัยไวรัสชีวภาพ โรงพยาบาลปีนังอินเตอร์เนชั่นแนลค่ะ”
สมหญิงได้ฟังก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก “ฟังดูเก่งจังเลย นาราลูกแม่เก่งจริงๆ”
อลิซาเห็นดังนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่ยอมแพ้ “ช่วงนี้ฉันก็ได้งานดีๆ เหมือนกันนะคะ” ทว่าสมหญิงกลับเพียงขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำให้อลิซารู้สึกอับอายเล็กน้อย
เธอเอาศอกกระทุ้งพิชัยที่อยู่ข้างๆ เป็นเชิงให้เขาช่วยแก้สถานการณ์
พิชัยรีบพูดขึ้นทันที “อนาคตอลิซาต้องดูแลบริษัท จะไปลำบากทำงานรับจ้างทำไม?” คำพูดของเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการต้องการจะลดคุณค่าของนาราและยกย่องลูกสาวของตัวเอง แต่สมหญิงกลับเพียงยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร
“คุณยาย หม่ามี้ของผมเก่งสุดๆ ไปเลย!” จอร์นเขย่าแขนสมหญิงอย่างมีความสุข พูดด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ สมหญิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกว้างทันที ลูบหัวเจ้าตัวเล็กอย่างเอ็นดู “จ้ะๆ หม่ามี้ของหนูเก่งที่สุดเลย”
เมื่อเห็นแม่รักลูกชายของเธอมากขนาดนี้ ในใจของนาราก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ส่วนพิชัยและอลิซานั้น ยิ่งมองเจ้าตัวเล็กนี่ก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
หลังอาหารเย็น นารานั่งรถของแม่ไปยังห้างสรรพสินค้าใหญ่ใกล้ๆ สมหญิงซื้อของขวัญต่างๆ ให้หลานชายอย่างใจกว้าง ทั้งหุ่นยนต์และของเล่นเลโก้ราคาหลายพันบาท เธอก็จ่ายเงินโดยไม่กระพริบตา นาราเห็นดังนั้นก็รีบห้าม แต่สมหญิงกลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยความผิดพลาดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
หลังจากที่สมหญิงยืนกรานจะส่งนารากลับถึงคอนโด เมื่อเห็นว่าที่พักของลูกสาวไม่ใหญ่โตนัก ในใจก็พลอยรู้สึกเศร้าหมอง หลายปีมานี้ พิชัยใช้เงินและเส้นสายของพ่อแม่เธอ จนบริษัทเติบโตเกือบจะแตะร้อยล้านแล้ว แต่ลูกสาวของเธอกลับยังต้องเช่าห้องอยู่ เธอตัดสินใจว่าจะต้องชดเชยให้ลูกสาว
หลังจากส่งแม่กลับไปแล้ว นาราก็อุ้มลูกชายนั่งลงบนโซฟา เจ้าตัวเล็กเอียงคอถามขึ้นมาทันที “หม่ามี้ครับ แดดดี้ของผมอยู่ที่ไหนเหรอครับ?”
นาราชะงักไป เธอรู้ดีว่าสักวันหนึ่งลูกชายก็ต้องถามคำถามนี้
เธอค่อยๆ ลูบหัวลูกชาย ในใจรู้สึกสับสนปนเปไปหมด ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
เจ้าตัวเล็กราวกับสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนของหม่ามี้ เขาจึงยื่นมือออกมาลูบแก้มของนาราอย่างเข้าอกเข้าใจ เสียงเล็กๆ แต่หนักแน่น "หม่ามี้ครับ มีหม่ามี้คนเดียวก็พอแล้วครับ!"
พูดจบ เขาก็หันไปนั่งบนแผ่นรองคลาน หยิบของเล่นเลโก้ขึ้นมาต่ออย่างมีความสุข ราวกับกำลังจมดิ่งอยู่ในโลกใบเล็กๆ ของเขา
นารามองดูร่างเล็กๆ ที่แสนจะเข้าใจเรื่องราวของลูกชาย ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา
เธอรู้ดีว่าชีวิตน้อยๆ นี้คือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ
เธอถอนหายใจเบาๆ เก็บซ่อนความรู้สึกในใจเอาไว้ลึกๆ
เธอรู้ว่าตัวเองต้องเข้มแข็ง หัวใจของสองแม่ลูกแนบชิดกัน
…
ส่วนที่บ้านตระกูลเหลืองอังกูร ในตอนเช้ามืด อลิซากลับสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย เธอฝันว่ามาร์คค้นพบความจริง และไล่เธอออกจากคฤหาสน์อย่างไม่ไยดี และคนที่มาแทนที่ทุกสิ่งทุกอย่างของเธอกลับเป็นนารา
เธอลุกขึ้นนั่งอย่างตื่นตระหนก เหงื่อชุ่มชุดนอน เธอมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่านี่คือห้องของเธอ และเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน แต่มันก็ยังทำให้ใจเธอสั่นไม่หาย
เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่เธอมีในตอนนี้ ทั้งเงินทอง ตำแหน่ง และความรักของมาร์ค ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เธอจะสูญเสียไปไม่ได้!
“นารา ทำไมแกไม่ไปตายอยู่ที่ต่างประเทศซะ...” อลิซาตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ขว้างหมอนลงบนพื้นอย่างแรง สำหรับเธอแล้ว การมีอยู่ของนาราคือภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุด!
อลิซาตัดสินใจว่าจะไปหานารา เพื่อลองหยั่งเชิงดูว่าเธอรู้เรื่องราวเมื่อครั้งนั้นหรือไม่ ถ้านารารู้ความจริง... เธอก็ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง!
เช้าวันรุ่งขึ้น นารารีบส่งลูกชายเข้าโรงเรียนแต่เช้าตรู่ แล้วจึงรีบไปยังบริษัท ในตอนเช้ามีการประชุมเช้า บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียดและจริงจัง เมื่อสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่นารา เธอก็ชะงักไปเล็กน้อย
“ได้ยินมาว่าถ้าวัคซีนต้านไวรัสครั้งนี้สำเร็จ ท่านประธานจะให้โบนัสตั้งห้าล้านเลยนะ” มีคนกระซิบกระซาบกัน
ในใจของนาราพอจะเดาได้ลางๆ แต่ก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ มาร์คคิดจะทำอะไรกันแน่? ถึงได้เพิ่มเงินรางวัลจนสูงลิ่วขนาดนี้
หลังจากกลับมาที่ห้องทำงาน เจนก็นำกาแฟมาให้หนึ่งแก้ว “พี่นาราคะ มีคนมาขอพบค่ะ”
นาราเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย “ใคร?”
หลังจากมีเสียงเคาะประตู ร่างหนึ่งก็เดินเข้ามา
เมื่อนาราเห็นใบหน้านั้น ความเกลียดชังในแววตาก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที!
“อลิซา เธอยังมีหน้ามาหาฉันอีกเหรอ?” เธอจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างเย็นชา พูดออกมาทีละคำ
แต่อลิซากลับยกมุมปากยิ้ม ทำทีเป็นสนิทสนม “แหม นารา พูดแบบนี้ก็ดูห่างเหินไปหน่อยสิ ฉันก็แค่แวะมาดูเธอน่ะ”
“มาดูฉัน? เธอมีน้ำใจขนาดนั้นเลยเหรอ?” นาราพยายามข่มใจไม่ให้ตบหน้าเธอสักฉาด
“โธ่ นารา ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ? ฉันมาหาเธอด้วยความจริงใจนะ” อลิซาพูด แต่แววตากลับฉายแววอำมหิต “แต่ว่า... คนที่ไปนอนกับผู้ชายคนอื่นในคืนนั้นอย่างเธอ ไม่รู้สึกขยะแขยงตัวเองบ้างเหรอ?”
